เมื่อประมาณสามปีที่แล้วก้าวแรกที่ได้หย่อนเท้าลงเหยียบย่ำลงบนดินแดนแห่งทราย หรือ ที่เรียกกันติดปากในภาษาไทยว่า"ทะเลทราย" ผมยังจำได้ดีว่ามันช่างแห้งแล้งและร้อนระอุเสียนี่กระไร แต่ยังไงเสียเราก็ตัดสินใจเองว่าจะมาที่นี่แล้วต้องยอมรับในชะตากรรมต่อไป ในดินแดนอันแสนร้อนระอุนี้อะไรๆก็ดูยังไม่ค่อยคุ้นไม่ค่อยชินสักเท่าไหร่ต้องใช้เวลาพอสมควรในการปรับตัวเองให้สามารถดำรงชีวิตอย่างปกติสุขในดินแดนใหม่ ใช่ว่าทุกอย่างจะเลวร้ายไปเสียหมดยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่พอเป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจให้ชุ่มชื่นอยู่บางหนึ่งในนั้นก็คือ เรื่องราวที่ผมกำลังจะเล่าบรรยายให้ฟังต่อไปนี้ครับ
หลังจากที่พอปรับตัวได้บ้างผมก็มีโอกาสได้ออกไปเดินสำรวจดินแดนใหม่หลังจากที่พอมีเวลาว่างจากการประจำที่ทำ ไม่ต้องกางแผนที่ไม่ต้องการรายละเอียดอะไรมากมายถามผู้ที่มาอยู่ก่อนว่าที่ไหนน่าเดินเล่นก็ตามนั้นครับ ดูไบเป็นเมืองเล็กๆดังนั้นเรื่องหลงทางเลยลืมไปได้เลย ที่แรกที่ผมประทับใจมากๆก็คือตลาดเครื่องเทศอะไรมันจะมากมายขนาดนั้น เยอะแยะไปหมดมีให้เลือกมากมาย ถ้าเป็นเครื่องเทศที่บ้านเราส่วนมากผมจะหาได้จากซุเปอร์มาร์เก็ต ที่แพ็คไว้ในซองหรือ ขวดเล็กๆเท่านั้นแต่ที่นี้สามารถเจอเครื่องเทศทั้งที่คุ้นเคยและแปลกตา เป็นกระสอบๆวางเรียงรายละลานตาไปหมด ถัดจากตลาดเครื่องเทศไปก็จะเป็นตลาดทอง ทอง ทอง ทอง ทั้งนั้นครับอร่ามไปหมด และแล้วเส้นทางก็นำผมมาสิ้นสุดที่ ตลาดปลา ที่ติดกับทะเลเลยทีเดียว ที่นี่นอกจากจะมีพวกปลา และสัตว์น้ำอื่นๆ วางขายกันแบบสดๆดิ้นๆกันเลยทีเดียวแล้ว ยังมีผักและผลไม้หลากหลายให้เลือกชมเลือกซื้อจากทั่วทุกมุมโลกอีกด้วย และที่เป็นพระเอกที่ผมกำลังจะกล่าวถึงอย่างขาดเสียไม่ได้ก็คือ อินผลัมแห้ง ครับ ณ ตอนนั้นยังไม่ทราบหรอกครับว่าแม้แต่อินผลัมนี่ก็มีชื่อมีสายพันธุ์ที่ต่างกันไป แล้ววันนั้นก็เลือกซื้อมาแบบว่าเอาสายตาวัดเอา ลูกสวย สะอาด ลูกใหญ่ยาว วันนั้นเลยมีเจ้า Mabroom นี่ละครับติดมือกลับบ้านเพราะเจอครั้งแรกก็ปิ๊งกันเลยด้วยรูปลักษณ์ที่ต้องตา และรสชาติก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ